Site icon Koala’s Diary

[รีวิวโรงแรม+ที่เที่ยว] กินอยู่ดี พักสบาย เที่ยวสบาย ณ @T Boutique Hotel (อ.คลองวาฬ, ประจวบฯ)

สงกรานต์ที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกในรอบกี่สิบปีไม่รู้ ที่ได้พาแม่ไปเที่ยว (ปกติอยู่แต่บ้าน) รอบนี้เลยมีโจทย์ที่พักดีหน่อย ติดหาดได้วิวทะเลสวยๆ ราคาไม่ต้องแพงมาก ไป 3 วัน 2 คืน ทั้งหมด 4 คน สุดท้ายเลือกไปเลือกมา มาลงตัวที่โรงแรม “@T Boutique Hotel” อยู่ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ อ.คลองวาฬ (ห่างออกไปจากหัวหินประมาณ 10 กว่าโลได้)
>> เปิดแมพที่ตั้งโรงแรม https://goo.gl/maps/YXMnjbDrXrk
เราจองห้องผ่านแอป Agoda ได้ห้องขนาดที่นอน 4 คนพอดี ราคาประมาณ 8,000 กว่าบาท รวมบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าทุกวัน (มีเตียงสองชั้น มีเตียงขนาดควีน แล้วก็มีโซฟาที่นอนได้สบายๆ เลยอีกตัว)
อ.คลองวาฬนั้นไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมากนัก เพราะงั้นบริเวณรอบๆ ก็จะไม่พลุ่กพล่านมาก ยังมีความเป็นชุมชมอยู่สูง สงบดีนะเราชอบ และก็ไม่ได้กันดารขนาดนั้น เพราะบริเวณนั้นมีทั้งตลาด เซเว่น ร้านอาหาร ร้านของชำ และจริงๆ ก็มีที่พักอื่นๆ ติดๆ กันด้วย
ATT_16
จุดเด่นของโรงแรมนี้คือ ลักษณะตึกที่พักจะเป็นตึกคู่ ตรงกลางก็จะเป็นบริเวณส่วนกลาง สวนตกแต่งไฟ มีที่พักให้นั่งรับลมทะเลสบายๆ ส่วนที่เห็นรูปบนคือเป็นบริเวณชั้น 4 (ถ้าจำไม่ผิด) เปิดให้ออกไปด้านนอก ถ่ายรูปวิวนี้ได้
**ระวังอย่าขึ้นไปบนบริเวณพื้นไม้นะ เพราะจริงๆ มันคือหลังคาที่ตีสูงขึ้นมาเฉยๆ ด้านล่างโล่งไม่มีอะไรเลย กลัวมันจะถล่มลงไป ถ้าขึ้นไปยืน (จริงๆ ก็คงไม่ให้ขึ้นแหละ แต่ไม่เห็นมีป้ายเตือนอะไร ถ้าเด็กๆ หรือคนไม่รู้อาจจะเฮกันขึ้นไป อันตรายอยู่)

กลับมาที่ lobby ก่อน พอเข้าไปถึงจะเห็นโลโก้ “หางวาฬ” เด่นเลย และภายในโรงแรมทั้งบริเวณส่วนกลางและห้องพัก ก็จะตกแต่งสไตล์เดียวกัน ดูทะเลๆ และก็มีปลาวาฬเต็มไปหมด

ตอนกำลังเช็คอิน มี welcome drink เป็นน้ำฝรั่งเย็นๆ ให้ด้วย

นี่คือบริเวณ lobby กับร้านกาแฟของโรงแรม วางตุ๊กตา มีปลาวาฬเต็มไปหมด น่ารักดี ^^

ไปดูห้องพักกันบ้าง เราจองห้องแบบ Family นอนได้ 4 คน อยู่ชั้น 6 พอเปิดห้องไป ทางซ้ายจะเป็นราวแขวนผ้า กับชั้นวางเซฟ และตู้เย็น (ล่างราวแขวนผ้าเป็นส่วนวางรองเท้า)


ส่วนขวามือก็จะเป็นห้องน้ำ ซึ่งถือว่ากว้างใช้ได้ มีแยกส่วนแห้ง และเปียกชัดเจน ฝักบัวเป็นแบบ rain shower แต่อาจจะเพราะอยู่ชั้น 6 เลยรู้สึกว่าน้ำไหลเบาหน่อย



เตียงนอนจัดวางแบบง่ายๆ แต่ชอบตรงที่ข้างๆ มีส่วนที่เป็นไม้ยื่นออกมา วางของได้ด้วย ส่วนหัวเตียงก็มีปลั๊กทั้งสองฝั่งเลย

ถัดจากเตียงมาก็จะมีโซฟาเบดกลางห้องเลย เอาจริงๆ ตรงนี้ก็นอนได้นะ ใหญ่อยู่ มีหมอนพร้อม (แอร์ลงตรงนี้พอดีด้วย)

หรือจะนั่งโซฟาดูทีวีก็ได้สบายๆ ใต้ทีวีก็มีที่วางของอีกเพียบ ชอบมาก 55 มีปลั๊กไฟอีกจุดด้วย นั่งเล่นมือถือแล้วก็ชาร์ตได้ตรงนั้น

แท่น แท๊นนน เตียงสองชั้น นอนสบายเลย ใครชอบส่วนตัวหน่อยก็นอนด้านบนได้

ลองถ่ายปลั๊กไฟในห้องมา มีหลายจุดอยู่ ทั้งหัวเตียงสองฝั่ง ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง ใต้ทีวี ในห้องน้ำก็มี

อันนี้โต๊ะเครื่องแ้ง พร้อมมุมวางของอีก (ใครของเยอะๆ ไม่ต้องห่วงเลย ที่วางของเยอะมาก)
ที่เห็นตรงกระจกฝ้าๆ ลายๆ ทางซ้าย มองเข้าไปคือห้องน้ำนะ เห็นไม่ชัดขนาดนั้น แต่ว่าถ้าใครยืนตรงนั้นในห้องน้ำ คนข้างนอกก็จะเห็นเป็นเงาหน่อย

ยังไม่หมด แต่ละห้องจะมีระเบียง และมีเก้าอี้เอาไว้ให้ออกมานั่งเล่นได้ด้วย (แต่ก็จะหันหน้าเข้าหาตึกของโรงแรมอีกฝั่ง เพราะงั้นถ้าห้องตรงข้ามออกมานั่ง ก็จะได้สบตากันพอดี 55)

วิวจากห้องพัก คือจะเห็นตึกฝั่งตรงข้าม เห็นชายหาด ข้างล่างก็จะเป็นโซนส่วนกลางมีต้นไม้เขียวๆ

ลงมาชั้น 1 แล้วเดินทะลุมาด้านหลังที่เป็นห้องอาหาร สระว่ายน้ำ และมีห้องฟิตเนสด้วย

บริเวณห้องอาหารของโรงแรม ซึ่งตอนเช้าที่เป็นบุฟเฟ่ต์ก็กินที่นี่เลย ผนังห้องอาหารจะเป็นเหมือนประตูกระจกที่เปิดเป็น open-air ได้ หรือพอปิดก็เป็นเหมือนร้านอาหารทั่วๆ ไป

มีโซนคอกเทลด้านนอก นั่งดื่มชิลๆ ได้


สระว่ายน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็พอให้เล่นน้ำขำๆ มองวิวทะเลชิลๆ ไปด้วยได้

ภาพตัวโรงแรม เมือถ่ายย้อนเข้าไป


พอกลางคืนก็จะเปิดไฟสวยงาม มุมโซฟาสีขาวนี่อยู่ตรงกลางพอดี นั่งรับลมเย็นๆ ชิลมาก



ตัวโรงแรมถ่ายตอนกลางคืน จริงๆ โรงแรมมีที่จอดรถ 2 ฝั่ง ฝั่งตัวโรงแรมเองที่จอดน้อยหน่อย ส่วนอีกฝั่งนึงก็ตรงข้ามกันเลย ข้างๆ เป็นร้านขายของชำด้วย เพราะงั้นไม่มืด ไม่เปลี่ยวมาก

ช่วงสงกรานต์ โรงแรมจะมีจัดคอนเสิร์ตเบาๆ ให้แขกสามารถขึ้นไปร้องได้ด้วย (มีคุณพี่มาเชียร์ตามโต๊ะ ถามร้องหน่อยมั้ยครับซักเพลง สองเพลง 55)
คืนที่ 2 เราไปลองนั่งกินอาหารโรงแรมดู อาหารอร่อยใช้ได้ ราคาไม่แพงมาก (พอๆ กับตามร้านริมทะเลทั้งหลายเลย) ได้บรรยากาศชิลๆ ดี

อาหารอร่อยใช้ได้ เครื่องดื่มโอเค (หมูมะนาวนี่จี๊ดอย่าบอกใคร! ใครสายนั่งกินเบียร์ กินเหล้านานๆ สั่งมาเป็นกับแกล้มซักจาน อยู่ได้นานแน่นอน เพราะมันจี๊ดมากจริงๆ)

ตัดภาพมาดูบุฟเฟ่ต์อาหารเช้ากันบ้าง มีทั้งสไตล์ไทย และฝรั่ง และมีซุ้มทำไข่คน ไข่ออมเล็ตอยู่ด้านหน้าด้วย เลือกเครื่องได้เลย แล้วพนักงานจะทำให้จ้า


มุมข้าวต้ม ก็มีเครื่องปรุงให้พร้อม วันแรกที่กินเป็นข้าวต้มปลา ตัวข้าวต้มอร่อยนะ แต่ปลาวันนั้นคาวไปหน่อย ส่วนวันที่ 2 เป็นข้าวต้มรวมมิตรคือมีกุ้งด้วย (เราแพ้กุ้ง เลยไม่ได้ลอง)

มุมขนมปังปิ้ง แยม เนย นมข้น มีพร้อม มีขนมไทย (ที่หมดเร็วมาก มาไม่ทันกิน) และมีพวกซีเรียลกับนม และผลไม้ด้วย

เรียกว่าอิ่ม ฟินใช้ได้เลยสำหรับอาหารเช้า พวกกับข้าวอาหารไทยรสดีเลยนะ ไข่ออมเล็ตก็ชอบมาก กินไปตั้งหลายอัน 55 (แต่ชา กาแฟ โอวัลตินลองเทมาแล้วรู้สึกมันเจือจางมากๆ จนแทบไม่มีรสเลย)

จบสำหรับการรีวิวโรงแรม @T Boutique Hotel ณ คลองวาฬแล้ว สำหรับเราโดยรวมถือว่าโอเคมาก ได้พักผ่อนในบรรยากาศที่คนไม่พลุ่กพล่านมาก ระหว่างทริปก็มีขับรถไปเที่ยวใกล้ๆ แถวนั้น อย่างเขาช่องกระจก (ที่จะมีให้เดินขึ้นไปจุดชมวิว 3 อ่าว) สะพานสราญวิถี ศาลหลักเมือง อ่าวมะนาว พิพิธภัณฑ์หว้ากอ (ใกล้โรงแรมมากๆ) และในบริเวณชุมชนเองก็จะมีตลาดเช้า กับกลางคืน มีของกินให้เลือกซื้อเยอะอยู่


click เพื่อเช็คราคา @T Boutique Hotel

ที่เที่ยว ร้านอาหารบริเวณใกล้โรงแรม
เลยโรงแรมไปนิดดดดดเดียวเท่านั้น จะมีร้านอาหารชื่อ “คนกินปลา” อยู่ เห็นเข้าไปมีแต่แปะ “ปลานวลจันทร์” เต็มไปหมดเลย ก็เลยลองสั่งแบบนึ่งซีอิ๊วมา แล้วก็มีแกงส้มชะอม กับปลาหมึกผัดยอดมะพร้าว

ชอบแกงส้มที่จะไม่หวานเลี่ยมเหมือนแกงส้มในกทม. 55 คือมันมีความเป็นแกงใต้อ่ะ สีจะออกเหลืองๆ หน่อย รสเผ็ดเปรี้ยวอร่อยดี ส่วนปลานวลจันทร์ก็เนื้อแน่น อร่อยสำหรับเรานะ (แต่กินแล้วจะรู้สึกเนื้อปลามีความเปรี้ยวหน่อยๆ ซึ่งแม่กับน้องไม่ชอบ ตัวนี้เราเลยกินซะส่วนใหญ่)

เมนูมีไม่เยอะ เน้นของทะเลสดๆ (เพราะซอยใกล้ๆ ร้านจริงๆ เป็นท่าเรือที่เรือหาปลาจะมาเทียบท่าตอนเช้า ของทะเลเค้าน่าจะได้มาแบบสดๆ)

เลยโรงแรมไปอีกทางนึง ไม่ไกลมากจะเป็นตลาดของคนในชุมชน มีทั้งของกินเล่น อาหาร ขนม ของสด เซเว่นก็มี (ไม่อดตายแน่นอน 55)

ไปซื้อปาท่องโก๋ยัดไส้ร้านนี้ (แถวๆ หน้า 7-11) ตัวละ 5 บาท มีไส้สังขยา กับนมข้น กินแล้วอร่อยดี ตอนแรกนึกว่าแป้งน่าจะเหนียวๆ แต่พอกินแล้วเออออ กรอบอร่อย ไส้ก็ไม่ได้แย่ ก็เลยซื้อกลับรร.มาด้วยเลย

ร้านดังในย่านคลองวาฬ ก็คือร้าน “เค้กคลองวาฬ” นั่นเอง เลยไปไม่ไกลจากรร.เช่นกัน เค้กมีหลายรสให้เลือก วันแรกเราลองเลือกมา 3 รสมาชิมก่อนแบบกล่องเล็ก พอกินแล้วมันก็ธรรมดาๆ นะ อารมณ์ชิฟฟ่อน
แต่สิ่งที่อร่อยกว่าจนวันสุดท้ายเหมากลับมาเลยคือ “มะพร้าวอบน้ำผึ้งกรอบ” คือมันจะบางๆ ได้ความหอมหวานน้ำผึ้งหน่อยๆ และมีความหอมของงาคั่วด้วย (จริงๆ คงมีขายที่อื่นด้วย แต่มาเจอที่ร้านนี้พอดี)

ศาลหลักเมือง/เขาช่องกระจก (จุดชมวิว 3 อ่าว)/สะพานสราญวิถี

ทั้ง 3 ที่นี้อยู่ใกล้ๆ กันหมดเลย ขับไปทีเดียวก็ไปได้ครบเลย ตอนนั้นไปถึงเที่ยงๆ แดดกำลังร้อนแรงมากกกก
แม่กับน้องวิ่งเข้าไปไหว้ศาลหลักเมือง ส่วนเรากางร่มรออยู่ข้างนอกแทน
พอไหว้เสร็จเลยไปอีกหน่อยจะเป็นทางขึ้นจุดชมวิว (ส่วนซ้ายมือก็จะเป็นวัดธรรมมิการามวรวิหาร หรือวัดเขาช่องกระจก) ก็เข้าไปจอดรถในวัด แล้วข้ามถนนไปขึ้นจุดชมวิวเอา

วัดเขาช่องกระจก (มองลงมาจากตอนเดินขึ้นจุดชมวิว)

ระหว่างขึ้นจะมีช่วงให้พักเป็นจุดๆ แต่ลิงเยอะมากๆ ตลอดทาง อ่อ ตอนเราไป มีน้องคนนึงมาเป็นไกด์นำให้ คอยไล่ลิงให้ด้วย น้องชื่อไนท์ บอกว่าปิดเทอมอยู่เลยมารับจ๊อบพิเศษเป็นไกด์ หาเงินซื้อของไปเยี่ยมแม่ที่อยู่ในเรือนจำ ระหว่างทางน้องก็ดีมากคอยช่วยแม่เราที่เดินไม่ค่อยไหว คอยถามว่าไหวมั้ย พักได้นะ
แม่เราเดินขึ้นไปแค่ถึงจุดพักแรก กับอีกครึ่ง ระหว่างทางบอกไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวลงไปรอข้างล่าง น้องก็ช่วยพาแม่ลงไปส่งที่จุดพักก่อน แล้ววิ่งกลับขึ้นมานำคนที่เหลือต่ออีก

พอมาถึงจุดพักที่ 2 จะมีศาลาให้นั่ง มีแม่ค้ามาขายน้ำเป็นแก้วๆ ตรงนี้ด้วย (ทำเลดีมาก 55) และลิงเยอะมากๆ มาจ้องคอยแย่งของกิน น้องไนท์เล่าว่าลิงที่นี่มีเกือบ 3,000 ตัว แถมอาหารการกินไม่ค่อยดีเหมือนลิงที่อื่น เพราะข้างล่างแม่ค้าก็ขายแต่ข้าวโพดเหี่ยวๆ ใกล้เน่าให้คนเอาขึ้นมาให้มันกิน แล้วในตัวเขาเองก็มีแต่ต้นไม้แห้ง ไม่ค่อยมีอะไรที่ลิงจะกินได้เท่าไร (น้องบอกบางทีหิวมากมันก็กินเปลือกไม้ กินซังข้าวโพดไม่เหลือเลย น้ำก็ไม่ค่อยมีด้วย มาแย่งกินเอาตรงแถวจุดพักเนี่ยล่ะ น้ำแข็งวางไว้เป็นแก้วๆ มันก็จะมาคว้าเอาไปกิน)
**ใครจะมาที่นี่ ถ้าสามารถแวะซื้อผลไม้ฉ่ำๆ น้ำ แบบกินได้ทั้งเปลือกมาให้ลิงๆ ด้วยจะดีมาก พวกชมพู่ หรือแตงโมที่หั่นแล้วไรงี้ น่าจะดีกว่ากินข้าวโพดเหี่ยวๆ
ข้อควรระวังสำหรับลิงที่นี่คืออย่าสบตามัน มันรู้นะ ใครสบตา จะเตรียมพุ่งเลย 55 (แต่ลิงที่นี่เกรี้ยวกราดน้อยกว่าลิงที่อื่นนะ คือถ้าไม่ไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่ค่อยมายุ่งเท่าไร) และอีกอย่างคือเสื้อผ้า เครื่องประดับอะไรที่วิบวับ ห้อยตุ้งติ้ง เก็บก่อนขึ้นไปก็ดี ไม่งั้นโดยคว้าแน่ๆ น้องเล่าให้ฟังว่ามีผู้หญิงคนนึงใส่ตุ้มหูห่วงใหญ่ๆ ขึ้นไป ลิงมันเห็นมันคว้าแล้วดึงเลยนะ! ไม่รู้หูเป็นไงบ้าง…

อันนี้วิวจากจุดพักที่เป็นศาลา จะไม่ละเอียดมาก เพราะไม่กล้าหยิบกล้องขึ้นมา นี่ใช้มือถือถ่าย แล้วซูมเอาด้วย (เพราะลิงมันอยู่ตรงนั้นพอดี ไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านี้)
ใครชอบแบบ adventure หน่อย น้องไนท์แนะนำให้ไปปีนลงเขาช่องกระจกด้วย ประมาณว่ามองขึ้นไปแล้ว มันจะมีเขาล้อม แล้วตรงกลางเป็นเหมือนช่องกระจกมองเห็นท้องฟ้าไรงี้ แต่เนื่องจากเรามีแม่ไปด้วย แล้วก็ร้อนมากๆ เลยขอผ่านนนน
ออกจากตรงนั้นแล้วขับย้อนกลับไปหน่อยก็จะเจอสะพานสราญวิถี (ที่เห็นในรูปบน) เขาว่าเป็น landmark ของเมืองประจวบฯ เลย วันที่ไปทางเข้าสะพานปิดถนนให้คนสาดน้ำกัน ก็เลยไม่ได้เข้าไป
Tip: แถวนั้นมีร้านอาหารชื่อร้านรับลม ไปกินมาก็ใช้ได้ แต่ตอนที่ไปคนเยอะ อาหารหลายอย่างเลยหมด และรอนานหน่อย

สุดท้ายย้อนกลับมาทางโรงแรมก็จะผ่านอ่าวมะนาว และใกล้โรงแรมเลยจะเป็นเขตอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เราได้แวะวันกลับ ด้านในก็มีจะมีวิวทะเลสวยๆ ให้ถ่ายรูป มีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำด้วย
จบจริงๆ แล้วจ้าสำหรับทริปนี้ ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศไปอีกแบบ แต่ถ้าแดดเมืองไทยมันเบากว่านี้หน่อย การเที่ยวจะสนุกขึ้นอีกเยอะเลย ใครกำลังมองหาที่พักแบบครอบครัว ชิลๆ ไม่ต้องเน้นเที่ยวเยอะแยะ ก็แนะนำให้ลองไปที่คลองวาฬดูซักครั้งนะ 🙂

Exit mobile version